5 ประเด็นเดือดวงการ EV ในปี 2566

บทความด้านพลังงาน
28 กุมภาพันธ์ 2566 , 12:00
752
0
0

1. รถ EV ทำสถิติยอดขายถล่มทลายเป็นจำนวนกว่า 14 ล้านคัน แต่อัตราการเติบโตกลับเริ่มถดถอยลง

เทรนด์การใช้รถยนต์ EV จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปี 2023 แต่อัตราการเติบโตจะน้อยลงกว่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ จากยอดขายจำนวน 3.2 ล้านคันในปี 2020 ได้พุ่งทะยานขึ้นไปแตะ 10 ล้านคันในปี 2022 ทาง Bloomberg ได้คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์แบบ plug-in จะพุ่งไปแตะ 14 ล้านคันภายในปี 2023 โดยประกอบไปด้วยรถที่ใช้ไฟฟ้าแบบ 100% มากถึง 75% ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรถยนต์ประเภทส่วนบุคคล (passenger car) แต่ภาคส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (commercial car) ก็จะยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทาง Bloomberg คาดการณ์ว่า ยอดขายจะพุ่งขึ้นกว่า 80% ในปี 2023 ไปแตะ 570,000 คัน โดยส่วนใหญ่ของยอดขายจะเป็นในส่วนของรถบัสและรถตู้ขนของ แต่ยอดขายของรถบรรทุกขนาดใหญ่ (heavy truck) ก็กำลังเติบโตด้วยเช่นกัน โดย Forbes คาดการณ์ว่าในปี 2030 ราคารถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าจะถูกกว่าที่ใช้น้ำมันดีเซลถึง 50%

รูปที่ 1 EV heavy truck

ที่มา: https://www.forbes.com/sites/energyinnovation/2021/03/16/plummeting-battery-prices-mean-electric-freight-trucks-could-be-50-cheaper-to-own-than-diesel/?sh=336ef265418c

จีนกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านยอดขายรถ EV อีกครั้งกับยอดขายรถ EV ส่วนบุคคล (passenger EV) กว่า 8 ล้านคันถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินสนับสนุนจากภาครัฐอีกต่อไปก็ตาม ในส่วนของสหรัฐฯ นั้นจะพบว่า ด้วยยอดขายรถ EV กว่า 1.6 ล้านคันในปี 2023 สหรัฐฯ ก็จะยังคงตามหลังยุโรปอยู่ แต่ช่องว่างของตัวเลขระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปกำลังเริ่มลดลงเรื่อยๆ โดยอัตราการเติบโตของยอดขายในยุโรปจะอยู่ในระดับกลางๆ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่กำลังรอให้มีการกวดขันเข้มงวดบังคับใช้กฎควบคุมการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (emissions regulations) ในปี 2025 ในเวลาเดียวกัน ทางกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ทางฝั่งจีนก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง และเข้ามาสู่การแข่งขันกับตลาดยุโรปและสหรัฐฯ อย่างดุเดือด โดยทำยอดได้ถึง 10% ของตลาดรถ EV เลยทีเดียว

ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 27 ล้านคันวิ่งบนถนนทั่วโลก และภายในปลายปี 2023 นี้ ตัวเลขจะพุ่งทะลุ 40 ล้านคัน แต่ถึงกระนั้นเอง ตัวเลขนี้ก็ยังนับเป็นเพียงแค่ 3% ของจำนวนรถยนต์ทุกประเภททั่วโลก แต่นี่คือ ก้าวกระโดดก้าวสำคัญในวงการ EV เพราะหากมองย้อนไปเมื่อปลายปี 2020 รถยนต์ EV มีจำนวนเพียงแค่ 1% ของรถยนต์ทุกประเภททั่วโลกเท่านั้น และทำให้เห็นได้ว่า EV นับเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน (energy transition) ที่รวดเร็วที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนรถยนต์ plug-in ที่มีประมาณ 15% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลกนั้นส่งผลให้โชคชะตาและอนาคตของกลุ่มผลิตรถ EV ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังผันผวนในปี 2023

รูปที่ 2 ยอดขายรถยนต์ EV ส่วนบุคคลทั่วโลก โดยแบ่งตามภูมิภาค

ที่มา: BloombergNEF

รูปที่ 3 ยอดขายรถยนต์ EV ส่วนบุคคลทั่วโลก โดยแบ่งตามประเภทระบบการขับเคลื่อน

ที่มา: BloombergNEF

2. ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV ของ BYD พุ่งแซง Tesla ไปแล้ว

โดยปกติแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า Tesla คือ ผู้ครองตลาดรถยนต์ EV อันดับ 1 ของโลกมาโดยตลอด แต่ทุกสถิติก็มีไว้เพื่อทำลาย ทาง Bloomberg ได้กล่าวไว้ว่า ในปี 2023 นี้ BYD จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ EV ซึ่งเห็นได้จากการที่ BYD ได้มีการเพิ่มจำนวนรุ่นรถที่หลากหลายมากขึ้น และขยายกำลังการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในปี 2022 ยอดขายรถยนต์แบบ plug-in (ซึ่งรวมถึง plug-in hybrid ด้วย) ของ BYD ได้พุ่งทะยานแซง Tesla ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ของ BYD ได้ก้าวกระโดดจาก 321,000 คันในปี 2021 ไปสู่ 911,000 คันในปี 2022

ทาง Bloomberg ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า จำนวนการผลิตรถของ Tesla จะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 30-40% ในปี 2023 เนื่องจากโรงงานใหม่ที่ Berlin และ Austin ในรัฐ Texas จะกลายมาเป็นระบบออโตเมชั่นแบบออนไลน์ทั้งหมด แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่อัตราดอกเบี้ยขยับสูงขึ้น ราคาบ้านที่ร่วงลง และตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทำให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจใช้จ่ายเงินของผู้บริโภคเป็นหลัก นอกจากนี้หลังจากที่ Elon Musk เข้ามาซื้อกิจการบริษัท Twitter และมักให้สัมภาษณ์ในเชิงลบบ่อยครั้ง ก็ส่งผลทำให้ผู้บริโภคที่เคยมีความสนใจจะซื้อ Tesla ตัดสินใจไม่ซื้อ และเบนหันไปซื้อรถ EV ยี่ห้ออื่นแทน

ในปี 2023 Tesla Model Y จะยังคงเป็นรถ EV ที่มียอดขายดีที่สุดในโลก และมีแนวโน้มที่จะขึ้นสู่ท็อป 3 ของยอดขายรถยนต์ทุกประเภท หลังจากที่เคยทำยอดติดท็อป 5 ของโลกในปี 2022 มาแล้ว โครงข่าย Supercharger ของ Tesla ยังคงเป็นจุดหลักที่ทำให้ Tesla โดดเด่นแตกต่างจากแบรนด์อื่น โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ ซึ่งสถานีอัดประจุไม่ค่อยได้รับการพัฒนามากเท่าที่ควรนัก

ทาง Bloomberg ได้คาดการณ์ไว้ว่า Tesla จะยังคงมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำตลาดรถ EV เกือบตลอดทั้งปี 2023 แต่ BYD จะพุ่งขึ้นแซง Tesla ในช่วงท้ายปี ยอดขายของ BYD ส่วนใหญ่มาจากภายในประเทศจีนเอง ดังนั้นความสำเร็จของ BYD จะขึ้นอยู่กับว่า ทางจีนจะสามารถบริหารจัดการสถานการณ์การเปิดเมืองหลังจากปิดเมืองมานานเนื่องจากวิกฤตการณ์ COVID-19 ได้ดีแค่ไหน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง Tesla และ BYD ก็จะทำยอดขายทิ้งห่างจากบริษัทรถยนต์ชื่อดังทั้งหลายหมด โดยมี VW อยู่อันดับ 3 โดยอยู่ห่างจากอันดับ 1 และ 2 แบบไม่เห็นฝุ่น

รูปที่ 4 Tesla Model Y จะยังคงเป็นรถ EV ที่มียอดขายดีที่สุดในโลกในปี 2023

ที่มา: https://www.tesla.com/en_eu/modely

รูปที่ 5 BYD จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ EV ระดับโลก

ที่มา: https://news.cgtn.com/news/2022-07-07/Chinese-auto-maker-BYD-overtakes-Tesla-in-global-EV-sales-1btagWjQDBu/index.html

3. คลื่นพายุแห่งการล้มละลายและการควบรวมบริษัทกำลังพัดถาโถมเข้าใส่กลุ่มธุรกิจ EV รายย่อย

ทาง Bloomberg ได้คาดการณ์ว่า คลื่นพายุแห่งการล้มละลายและการควบรวมบริษัทกำลังพัดถาโถมเข้าใส่ธุรกิจภาคส่วนยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งกระทบธุรกิจหลักๆ 2 ประเภท ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจ startup ผู้ผลิตรถยนต์ (startup automakers): ในปัจจุบันนี้มีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จำนวนมากมายมหาศาล และในปี 2023 นี้เองจะเป็นปีที่ตัดสินว่า ใครจะอยู่ ใครจะไป จำนวนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้มีการเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ (cheap money) และกระแสความนิยมใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้มีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้น อัตราการเติบโตของยอดขาย EV ที่ช้าลงในปี 2023 เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า บริษัทรถยนต์ไม่ได้มีเงินทุนสำรองเพียงพอที่จะทำยอดได้ตามที่คาดหมายไว้ หรือกลุ่มเป้าหมายที่เล็งไว้อาจจะมีผู้เล่นอยู่มากเกินพอแล้ว หรือผู้บริโภคอาจจะไม่กล้าที่จะเสี่ยงลองเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ใหม่ๆ ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน ในปี 2023 นี้โอกาสของผู้เล่นรายใหม่ในตลาดรถยนต์ EV ได้ปิดลงเป็นที่เรียบร้อย และท้ายที่สุด จำนวนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ก็จะลดน้อยลงไป คงเหลือแต่บริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่

2. สถานีชาร์จรถไฟฟ้า และบริการที่เกี่ยวข้อง (charging infrastructure and related services): เม็ดเงินกำลังไหลเข้าสู่ธุรกิจกลุ่มนี้ โดยทาง Bloomberg ได้คาดการณ์ว่า เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจสถานีชาร์จรถไฟฟ้ารวมมูลค่ากันทั้งหมดจะพุ่งทะยานเกิน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2023 นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ปี 2023 ก็ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบสำหรับกลุ่มบริษัทที่เพิ่งเข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่ เพราะในตอนนี้การระดมเงินทุนจะยากมากขึ้น และกลุ่มผู้เล่นรายใหญ่ก็ได้เปรียบกว่า เพราะได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากกว่าไปแล้ว พวกกลุ่มบริษัทในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่า เพราะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จรถไฟฟ้ากำลังเริ่มต้นแล้ว ถึงแม้ว่าการควบรวมบริษัทจะเป็นประเด็นร้อนในปีนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ ต่อการปรับตัวไปสู่การใช้รถยนต์ EV บริษัทที่แข็งแกร่งก็จะผ่านพ้นปี 2023 ไปได้ด้วยดี

4. ร่างกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (US Inflation Reduction Act) ทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่การแข่งขันทางด้านห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ และรถ EV ระดับโลก

รูปที่ 6 การลงทุนทางด้านรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ที่มีการวางแผนไว้หลังจากมีการผ่านร่างกฎหมาย IRA

ที่มา: BloombergNEF

หนึ่งในเซอร์ไพรส์ใหญ่ของปี 2022 คือ การผ่านร่างกฎหมาย US Inflation Reduction Act (IRA) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาด และรถ EV มากขึ้น รวมถึงกระตุ้นภาคส่วนอุตสาหกรรมการผลิตรถ EV และแบตเตอรี่ ถึงแม้รายละเอียดบางอย่างจะยังคงไม่ชัดเจนมากนัก แต่กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมที่จะรับมือกับมัน จากข้อมูลของ BNEF พบว่า หลังจากการผ่านร่างกฎหมาย Inflation Reduction Act ในเดือนสิงหาคม 2022 ส่งผลให้มีการประกาศการลงทุนทางด้านรถ EV และแบตเตอรี่ในอเมริกาเหนือมูลค่ารวมสูงถึง 2.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในทันที

ทาง Bloomberg ได้คาดการณ์ไว้ว่า เม็ดเงินลงทุนมหาศาลกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจะไหลเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ของสหรัฐฯ ในปี 2023 การตัดสินใจเหล่านี้ล้วนมีความซับซ้อนค่อนข้างมาก และต้องใช้เวลาหลายปีในการคิดวิเคราะห์ประเมินผล ดังนั้นการพิจารณาเพียงแค่ Inflation Reduction Act อย่างเดียวก็ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลเสียทีเดียวนัก ในปี 2023 เราก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า แต่ละประเทศจะมีการตอบสนองต่อ Inflation Reduction Act อย่างไรบ้าง

5. บริษัททั่วโลกเริ่มหันมาใช้รถบรรทุกและรถตู้พลังไฟฟ้า

ยอดขายของรถตู้และรถบรรทุกที่ปลดปล่อยมลพิษเป็นศูนย์จะยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะแตะระดับ 570,000 คันทั่วโลกภายในปี 2023 หากมองย้อนกลับไป จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ยอดขายได้ก้าวกระโดดเกือบ 4 เท่าท่ามกลางตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (commercial vehicle) ที่ซบเซาลง ในปี 2022 ยอดขายรถบรรทุกและรถตู้พลังไฟฟ้ารวมกันทำได้เกือบ 320,000 คัน ซึ่งเกือบทั้งหมดใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (battery electric) และในจำนวนนี้เองมี 1,400 คันที่เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่แบบเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell heavy truck) โดยส่วนมากอยู่ในประเทศจีนทั้งสิ้น

ประเทศจีนตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำทางด้านยอดขายรถบรรทุกและรถตู้พลังไฟฟ้าต่อไป โดยทำยอดขายได้เป็น 2 เท่าของจำนวนยอดขายในทวีปยุโรป เกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เราต้องเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยอดขายรถยนต์ EV เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (electric light commercial vehicle) ทำได้ถึง 25% ของตลาดถึงแม้ว่านโยบายการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจะหมดไปแล้วก็ตาม

รูปที่ 7 ยอดขายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่ปลดปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (zero-emission commercial vehicles)

ที่มา: BloombergNEF

ในปี 2023 ทาง Bloomberg ได้คาดการณ์ไว้ว่า ผลกระทบจากการสนับสนุนทางด้านนโยบายจะเริ่มเห็นเป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นในตลาดอื่นๆ และจะช่วยในการแก้ไขปัญหาราคาที่พุ่งสูงขึ้น และข้อจำกัดของวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่และส่วนประกอบต่างๆ ตัวอย่างของนโยบายดังกล่าว เช่น การประกาศใช้ Action Plan ในประเทศจีนเพื่อควบคุมมลภาวะทางอากาศที่เกิดขึ้นจากรถบรรทุก และการออกมาตรการ Inflation Reduction Act ในสหรัฐฯ

สหรัฐฯ อาจจะกลายมาเป็นตลาดหลักสำหรับรถตู้และรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าในปีที่ผ่านๆมา สหรัฐฯ ทำยอดขายได้ต่ำมากๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้ก็เริ่มสังเกตเห็นได้ถึงสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลง ผู้ซื้อได้ทำการสั่งซื้อรถบรรทุกและรถตู้ไฟฟ้าล็อตใหญ่จากหลากหลายบริษัท เช่น BrightDrop, Volvo, Tesla, Daimler, Xos เป็นต้น และในหลายๆ กรณีนั้น บริษัทผู้ผลิตรถก็ได้เริ่มทยอยส่งมอบรถเป็นที่เรียบร้อย ในขณะเดียวกัน ก็มีการพัฒนาโครงการชาร์จไฟฟ้าพลังงานสูง (high-power charging) สำหรับรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ (heavy-duty electric truck) และสถานีชาร์จที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2023

ฝ่ายนวัตกรรมและพัฒนาการกำกับกิจการพลังงาน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

กุมภาพันธ์ 2566

ข้อมูลอ้างอิง

“EVs and New Mobility: 10 Things to Watch in 2023”, BloombergNEF, January 12, 2023