จีน : มังกรที่กำลังผงาดในโลก EV ใครก็ฉุดไม่อยู่แล้ว
ด้วยวิกฤตการณ์สภาพอากาศแปรปรวน Climate Change ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้คนทั่วโลกกำลังหันมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) แทนรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) เนื่องจากภาคส่วนการขนส่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) มากถึง 17% ของปริมาณการปล่อยทั้งโลก โดยผู้ใช้รถยนต์ในประเทศจีนมีความต้องการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV เร็วกว่าประเทศอื่นๆ โดยในปี 2021 ยอดขายรถยนต์ EV ในประเทศจีนพุ่งสูงถึง 2.92 ล้านคัน และได้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 53% ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั่วทั้งโลกด้วยซ้ำ ตามข้อมูล BloombergNEF พบว่ายอดขายรถ EV ในจีนยังคงเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตามมาด้วยยุโรปซึ่งนำโดยเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ส่วนในสหรัฐอเมริกาได้ออกมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีสำหรับผู้ซื้อรถ EV จะส่งผลให้ยอดขาย EV เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามแนวโน้มยอดขายรถ EV ทั่วโลกจะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต ถึงแม้จะมีข้อจำกัดด้านห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Bottlenecks) และสถานการณ์ด้านเงินเฟ้อทั่วโลกในปัจจุบัน
รูปที่ 1 สถิติการเติบโตของยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลประเภท EV ต่อปี ทั่วโลก
ที่มา ข้อมูลจาก BloombergNEF ณ เดือนสิงหาคม 2022
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2060 และมาตรการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐบาล (Government Subsidies) เป็น 2 ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ EV มากขึ้น จนทำให้ในปัจจุบันนี้ ประเทศจีนกลายเป็นมหาอำนาจตลาดรถยนต์ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้นหัวใจสำคัญของรถยนต์ ICE คือ เครื่องยนต์ (Engine) ชุดเกียร์ (Gearbox) และโครงรถยนต์ (Chassis) แต่ในขณะที่รถยนต์ EV ไม่มีเครื่องยนต์ และชุดเกียร์อีกต่อไป มีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อนรถ EV เท่านั้น ดังนั้นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติก็จะส่งผลน้อยลงในตลาดรถยนต์ EV และนี่ทำให้จีนสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติได้
รูปที่ 2 เปรียบเทียบอุปกรณ์ภายในรถประเภท ICE และ EV
ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของยอดขาย EV ในประเทศจีนจะชะลอตัวลงในระหว่างปี 2019 ถึง 2020 ซึ่งเป็นช่วงภาวะ COVID-19 ระบาดทั่วโลก แต่ตลาดรถยนต์ EV กลับเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดูมีอนาคตที่สุดสำหรับประเทศจีน ด้วยอัตรายอดขายที่คาดการณ์ไว้ที่ 60% ภายในปี 2030 โดยมีเหตุผลหลักอยู่ 2 ประการว่าทำไมประเทศจีนถึงได้มีอัตราการเติบโตที่สูงขนาดนี้
เหตุผลประการแรกคือ รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนการพัฒนาของอุตสาหกรรม EV อย่างเต็มที่ด้วยการสมทบเงินในการซื้อรถ EV และวิธีต่างๆ นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ประชาชนที่ซื้อรถ EV จะได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลจีนรวมมูลค่า 14.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (100 พันล้านหยวน) ซึ่งโครงการเงินสมทบนี้จริงๆ แล้วจะต้องสิ้นสุดภายในปี 2020 แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นให้ยอดขายรถยนต์ EV พุ่งกลับขึ้นมา รัฐบาลจีนจึงได้ตัดสินใจขยายเวลาในการให้เงินสมทบจากรัฐบาล พร้อมกับยืดระยะเวลาการยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ EV ตลอดทั้งปี 2022
ด้วยแรงจูงใจจากรัฐบาลจีนดังกล่าว พร้อมกับการทุ่มทุนไปที่สถานีอัดประจุ (Charging Station) มูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลกระตุ้นให้ความต้องการรถ EV พุ่งทะยานขี้น โดยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของยอดขายจะพุ่งไปที่ 30% และยอดขายโดยประมาณจะอยู่ที่ 3.82 ล้านคันในปี 2022 นอกจากนี้ การพัฒนาของตลาดรถยนต์ EV ก็ยังเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อาทิเช่น อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งต้นน้ำของห่วงโซ่การผลิต (Upstream of Value Chain) ของ EV จึงได้รับผลดีจากแรงขับเคลื่อนตลาด EV ดังจะเห็นได้จากในปี 2021 ได้มีการติดตั้งแบตเตอรี่ความจุ 220 GWh ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 175% แต่อย่างไรก็ตาม กำไรของแบตเตอรี่กลับน้อยลง เพราะราคาของวัตถุดิบในการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น อีกเหตุผลหนึ่งคือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อพูดในแง่มุมของสิ่งแวดล้อมนั้น รถยนต์ EV ซึ่งไม่ได้ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อน จึงไม่ได้ผลิตก๊าซที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมในขณะขับขี่ นอกจากนั้นในกระบวนการผลิตรถ EV ทั้งหมดกำลังถูกพัฒนาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
รูปที่ 3 ยอดขายประจำปีของรถยนต์ EV ในจีนตั้งแต่ปี 2018-2022
ที่มา ข้อมูลจาก China Association of Automobile Manufacturers กราฟจาก Daxue Consulting
เมื่อกล่าวถึงกลุ่มผู้เล่นสำคัญๆ ในวงการรถยนต์ EV นั้น จะเห็นได้ว่า เหล่าแบรนด์ชั้นนำมีความตั้งใจที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต ดังจะเห็นได้จากบริษัท Geely ใช้แผ่นโลหะรีไซเคิลจำนวน 15% และอะลูมิเนียมรีไซเคิลจำนวน 25% ในรถรุ่น ZEEKR 001 นอกจากนี้ บริษัท XPeng ยังได้พัฒนาและใช้เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) เช่น ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซล่าร์เซลล์ (Photovoltaic Panels) ในกระบวนการผลิต
นอกเหนือไปจากข้อดีทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น การเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ EV นับเป็นหนทางในการลดการพึ่งพาน้ำมัน โดยในปี 2021 ประเทศจีนจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ในบรรดาประเทศทั่วโลกที่ผลิตน้ำมันต่อวันได้มากที่สุด ในขณะที่เมื่อพิจารณาถึงปริมาณน้ำมันที่ใช้ ประเทศจีนอยู่ที่อันดับที่ 2 ของโลกเลยทีเดียว ดังนั้น ประเทศจีนจะต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันอย่างมาก ซึ่งอาจมีราคาที่สูงและมีปริมาณที่จำกัดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางการค้า การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน เพราะว่าปริมาณการใช้น้ำมันของประชาชนจะสามารถลดลงได้
ความต้องการใช้รถยนต์ EV ในประเทศจีนกำลังพุ่งทะยาน จากกลยุทธ์อันชาญฉลาดของแต่ละค่ายรถยนต์ที่ทำการศึกษาวิจัยมาเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากมหกรรมยานยนต์แห่งปีอย่าง Shanghai Motor Show ที่จัดในเดือนเมษายน 2021 ซึ่งมีรถยนต์ EV สัญชาติจีนจำนวนมากนำรถเข้ามาร่วมแสดงในงาน แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือ Tesla ที่เป็นแบรนด์ EV ยักษ์ใหญ่ระดับโลกกลับถูกแย่งซีนโดย รถยนต์ EV ขนาดเล็กอย่าง Hongguang Mini ที่ทำยอดขายถล่มทลายไปมากถึง 270,000 คัน ชนะ Tesla ไปขาดลอย ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะดีไซน์ของรถ หรือระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ แต่เป็นเพราะราคาที่ถูกมาก คันละ 4,500 เหรียญสหรัฐเท่านั้น โดยทางผู้ผลิตได้ทำการวิจัย ให้ผู้บริโภคได้ลองนำรถไปใช้ฟรีจำนวนกว่า 9,000 คัน ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า พฤติกรรมหลักๆ ของผู้บริโภค คือ นำรถไปรับส่งลูกไปโรงเรียน ไปจับจ่ายใช้สอยที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 20 กว่าๆ แสดงให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่นิยมสำหรับชีวิตคนเมืองที่ขับรถในระยะทางใกล้ๆ ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่ง Hongguang Mini ได้ตอบโจทย์ตรงนี้เป็นอย่างมาก โดยรุ่น Wuling Hongguang Mini EV ประกอบด้วยสี่ที่นั่ง ความยาวรถน้อยกว่า 3 เมตร เป็นรุ่นยอดนิยมขายดีที่สุดในจีน โดยมีราคาขายเริ่มต้นที่ประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับรถ Tesla ที่มีราคาสูงกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐ
รูปที่ 4 Wuling Hongguang Mini EV
ในประเทศจีน นอกจากรถยนต์ EV ขนาดเล็กแล้ว ยังมีรถยนต์ EV ระดับสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือ NIO ที่มาในราคาเริ่มต้น 55,000 เหรียญสหรัฐ NIO เป็นบริษัทรถยนต์ Smart EV สัญชาติจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อพฤศจิกายน 2014 ซึ่ง 8 ปีให้หลัง NIO กลายมาเป็นผู้เล่นรายยักษ์ใหญ่ในตลาดรถยนต์ EV ระดับ high-end มียอดขายรถยนต์สูงเป็นอันดับที่ 8 ในบรรดาแบรนด์รถยนต์ทุกประเภทในปี 2021 โดยทำยอดขายมากถึง 90,870 คันในประเทศจีน แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ NIO ก็ได้ผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง
หากย้อนไปก่อนหน้านี้ บริษัทรถยนต์ EV ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนอย่าง NIO ก็เคยเกือบล้มละลายมาแล้วในช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนัก จะพบว่า ตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปี 2021 บริษัท NIO ไม่เคยทำกำไรได้เลย เหตุผลหลักๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ เม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่ทุ่มไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี เครื่องมือในการผลิต และโครงข่ายการให้บริการ (Service Network) ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็น 12.5% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทเลยทีเดียว
กลยุทธ์การลงทุนนี้และเม็ดเงินที่ใช้มหาศาลในช่วงแรกของบริษัททำให้ NIO ตกที่นั่งลำบากมากในปี 2020 บริษัทไม่มีกระแสเงินสดเพียงพอในการจัดการกับปัญหา COVID-19 ระบาดที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน หลังจาก 2 ปีแห่งฝันร้าย NIO เกือบถูกถอดชื่อออกจากตลาดหลักทรัพย์ และเกือบล้มละลายในช่วงต้นปี 2020
รูปที่ 5 Nio ES7
แต่ในพายุที่ถาโถมเข้าใส่ ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ เมื่อ Li Bin ผู้ก่อตั้งบริษัท NIO ได้ทุนมูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.4 พันล้านหยวน) ในรูปแบบของหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) และได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลเมือง Hefei ในประเทศจีน ในการสนับสนุนทางการเงิน ทำให้ NIO ได้รับมอบโอกาสอีกครั้งในการพัฒนาบริษัท รอบนี้ NIO ได้ลองใช้โมเดลทางธุรกิจใหม่ โดยพยายามตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป
หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ NIO ประสบความสำเร็จอย่างมากคือ บริการสลับแบตเตอรี่ (Battery Replacement Model) ให้ลูกค้าได้นำรถยนต์ที่แบตเตอรี่ใกล้หมดหรือแบตเตอรี่สิ้นสุดอายุการใช้งาน เข้ามายังสถานีเพื่อทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ตัวใหม่ โดยใช้เวลาสั้นมากเพียงแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น และแต่ละสถานีสามารถรองรับรถ EV ได้ 330 คันต่อวัน จากที่โดยปกติแล้ว รถยนต์ EV ใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่นานเป็นชั่วโมงกว่าแบตเตอรี่จะเต็ม ซึ่งสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าได้มากกว่าการสร้างสถานีอัดประจุ (Charging Station) เป็นอย่างมาก ในปัจจุบันมีสถานีให้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใน 70 เมืองในประเทศจีน และกำลังมีการขยายจำนวนสถานีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ผู้ใช้รถ EV ของ NIO ก็สามารถอัพเกรดแบตเตอรี่ได้ตามต้องการ เพื่อที่จะได้ใช้เทคโนโลยีที่ใหม่ที่สุดเสมอ
รูปที่ 6 โมเดลการสลับแบตเตอรี่ (Battery Replacement Model) ของ NIO
รูปที่ 7 สถานีสลับแบตเตอรี่และสถานีอัดประจุของ NIO
นอกจากนี้ ประเทศจีนยังกำลังมาแรงมากในแวดวงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ แบตเตอรี่นับเป็นหัวใจหลักของรถยนต์ EV และนับเป็น 40% ของมูลค่ารถ EV ทั้งหมด ประเทศจีนครองครองแร่ธาตุแรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ปริมาณมากมายมหาศาลสำหรับไว้ใช้ในแบตเตอรี่ ในปี 2021 ประเทศจีนมี Lithium มากถึง 1.5 ล้านตัน ซึ่งนับเป็น 6.8% ของตลาดทั้งโลก ถึงแม้ว่า เหมือง Lithium ที่ใหญ่ที่สุดในโลกส่วนมากอยู่ในแอฟริกาใต้ และออสเตรเลีย แต่บริษัทของจีนกลับถือหุ้นในบริษัทเหมือง Lithium ในต่างประเทศจำนวนมาก บริษัทจีนอย่างเช่น Tianqi Lithium Corporation ถือหุ้นของบริษัท Terryson มากถึง 51% ซึ่ง Terryson เป็นเจ้าของเหมืองสปอดูมีน (Spodumene) ที่ใหญ่และคุณภาพดีที่สุดในออสเตรเลียตะวันตก ในปัจจุบัน ประเทศจีนเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดในโลก ผลิตได้มหาศาลถึง 324 GWh ซึ่งนับเป็น 59.4% ของทั้งตลาดโลก นอกจากนี้ ยังคาดว่า ตลาดแบตเตอรี่ของจีนจะมีค่าอัตราการเติบโตรายปีแบบผสม (Compound Annual Growth Rate, CAGR) มากถึง 7.5% ในช่วงปี 2022 ถึง 2027
สำหรับบริษัทแบตเตอรี่ของจีนอย่าง Contemporary Amperex Technology Co. Limited (CATL) ถือครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 32.5% ในปี 2021 และอยู่ในอันดับที่ 1 ของโลกตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา จากสถิติข้อมูลในปี 2021 ในบรรดาบริษัทผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถ EV ทั้ง 10 อันดับของโลก มีบริษัทของจีนมากถึง 6 บริษัทด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทรงอิทธิพลของจีนในการผลิตแบตเตอรี่ภายในประเทศ
รูปที่ 8 ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ EV ของโลก ในครึ่งปีแรกของปี 2022
ที่มา ข้อมูลจาก SNE research กราฟจาก Daxue Consulting
นอกเหนือจากกำลังการผลิตแล้วนั้น เทคโนโลยีที่จีนใช้และคุณภาพของแบตเตอรี่จีนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเลย ดังจะเห็นได้จากบริษัทรถยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกยังเลือกผู้ผลิตแบตเตอรี่จากบริษัทจีน ตัวอย่างเช่น CATL ได้กลายมาเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ให้กับ Volkswagen MEB ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2018 และหลังจากนั้นเพียงแค่ 3 เดือนก็ได้คำสั่งซื้อจากทาง BMW ในมูลค่ามหาศาล 1.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ (6.9 พันล้านหยวน) หลังจากนั้น CATL ก็กลายมาเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ให้กับ Tesla ในเดือน กุมภาพันธ์ 2020
บริษัทสัญชาติจีน BYD ได้วางแผนที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตรถ EV ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในธุรกิจ EV แบบครบวงจร โดย BYD มีเป้าหมายจะเริ่มผลิตรถ EV ในปี 2024 ซึ่งมีกำลังการผลิตเริ่มต้นอยู่ที่ 150,000 คันต่อปี เพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป นอกจากนั้นผู้ผลิตรถ EV สัญชาติจีนรายอื่น เช่น Great Wall Motor และ MG Motor ได้เข้ามาทำธุรกิจขายรถ EV และเริ่มผลิตรถ EV บางส่วนในไทยแล้ว ทั้งนี้ตามข้อมูลของ BloombergNEF ณ เดือนกันยายน 2022 ได้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลที่เป็น EV ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเติบโตสูงถึง 81,000 คันต่อปี ในปี 2025 เทียบกับจำนวน 16,000 คันต่อปี ในปี 2021 ดังนั้นการเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์จีนในภูมิภาคนี้ จะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น โดยสามารถเลือกซื้อรถ EV รุ่นต่างๆ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ซึ่งอาจจะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ BloombergNEF คาดการณ์ไว้เบื้องต้น ทั้งนี้การเข้ามาของบริษัทผลิตรถ EV ของจีนในภูมิภาคนี้ จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตอย่างต่อเนื่องและยาวนานในย่านนี้
รูปที่ 9 การพยากรณ์การเติบโตของยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลประเภท EV ต่อปี ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา ข้อมูลจาก BloombergNEF ณ เดือนกันยายน 2022
นอกจากทิศทางกระแสตลาดที่พุ่งไปที่รถยนต์ EV ในประเทศจีนแล้วนั้น ในสหรัฐอเมริกาเองตลาดรถยนต์ EV ก็กำลังดำเนินไปในทิศทางเดียวกันเช่นกัน โดย Ford ได้พยายามผลักดันตัวเองเข้าไปสู่แวดวงตลาดรถ EV และมีความตั้งใจที่จะโค่นยักษ์ใหญ่แห่งวงการ EV อย่าง Tesla ให้ได้ จึงตั้งเป้าหมายทุ่มเงินกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2026 เพื่อเร่งดำเนินธุรกิจนี้ โดยปัจจุบัน Ford ได้ทำการเปลี่ยนรถ American Muscle ให้เป็น EV ดังจะเห็นได้จากรุ่น Mustang Mach E นอกจากนี้ Ford เองก็ยังได้สร้างรถกระบะไฟฟ้ารุ่น F-150 Lightning มาขายอีกด้วย จากการเปิดขายทั้ง 2 รุ่นนี้ ส่งผลให้ยอดขายของ Ford พุ่งขึ้นถล่มทลาย รถตู้ขนของอย่าง Ford Transit ถึงแม้จะเป็นโมเดลที่เป็น EV แต่ก็ยังคงสามารถครองตลาดในบรรดากลุ่มรถตู้ขนของด้วยกันได้ ซึ่ง Ford E-Transit นี้เองเข้าครองตลาดรถตู้ไฟฟ้าไปกว่า 95% ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2022 ซึ่งในตอนนี้ Ford เป็นบริษัทที่ทำยอดขายรถยนต์ EV สูงเป็นอันดับ 2 ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรองเพียงแค่ Tesla เท่านั้น โดย Ford ได้ส่วนแบ่งมากถึง 10% ของตลาดรถยนต์ EV ในเดือนกรกฎาคม 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดที่ Ford เคยทำได้
รูปที่ 10 สถิติยอดขายรถ EV ในอดีตจนถึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2022)
ที่มา ข้อมูลจาก BloombergNEF ณ เดือนสิงหาคม 2022
แต่อย่างไรก็ตาม Tesla ก็ยังคงเป็นผู้นำแห่งวงการรถ EV ทั่วโลก ตามข้อมูลของ BloombergNEF พบว่า Tesla ได้ขายรถ EV ไปแล้วทั่วโลกกว่า 2.9 ล้านคัน จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น Tesla Model 3 และ Tesla Model Y ยังคงเป็นรุ่นยอดนิยมซึ่งขายดีทั่วโลก แต่ยอดขาย Tesla ในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยังคงเป็นรองแบรนด์ท้องถิ่น คือ BYD และ บริษัทร่วมทุน SAIC-GM-Wuling ซึ่งใช้แผนกลยุทธ์การตลาดโดยการเสนอขายรถ EV หลายรุ่นราคาถูก เพื่อแย่งชิงยอดขาย
เนื่องจากข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การผลักดันการใช้รถ EV ให้แพร่หลายเพื่อทดแทนรถ ICE ในกลุ่มประเทศร่ำรวยและประเทศกำลังพัฒนามีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนและกลุ่มประเทศยุโรปมียอดขายรถ EV สูงมาก เนื่องจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สถานีอัดประจุไฟฟ้า และระบบโครงข่ายไฟฟ้า รวมถึงมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ เช่น การลดหย่อนภาษี เป็นต้น ในขณะที่ประเทศที่มีสภาพเศรษฐกิจที่แย่กว่า เช่น อินเดีย และบราซิล จะมียอดขายรถ EV ที่เติบโตช้ากว่า
รูปที่ 11 การพยากรณ์สัดส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลประเภท EV เทียบกับรถประเภท ICE ในกลุ่มประเทศต่างๆ
ที่มา ข้อมูลจาก BloombergNEF ณ เดือนสิงหาคม 2022
แนวโน้มของโลกที่เปลี่ยนไปสู่ยุคของการใช้รถยนต์ EV ได้มาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้มาก ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง จีน และสหรัฐอเมริกา ได้แสดงให้เห็นว่า รถยนต์น้ำมันกำลังจะหายไปจากโลก และถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ EV ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น รัฐ California ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเป้าหมายยกเลิกการขายรถประเภท ICE ภายในปี 2035 ถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจ EV อย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังเป็นไปตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Carbon Neutrality และ Net-Zero Emissions ทั่วโลก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาในแง่มุมของการพัฒนาเศรษฐกิจ ความมั่นคงแห่งชาติ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศจีนแล้วนั้น จะพบว่า ตลาดรถยนต์ EV ของจีนจะกลายมาเป็นภาคส่วนหลักสำคัญของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกเลยทีเดียว ในปัจจุบัน จากแนวโน้มที่รถยนต์ EV แบรนด์เกิดใหม่มากมาย เช่น NIO, Xpeng, Li Auto และ BYD กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดภายในประเทศเข้มข้นดุเดือดมากยิ่งขึ้น และทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดรถยนต์ EV แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องจับตามองดูความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้น เช่น ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ผลพวงจากวิกฤตการณ์ COVID-19 ระบาดทั่วโลก และการสนับสนุนจากรัฐบาลที่อาจจะลดน้อยลงในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลให้การเติบโตของตลาดรถยนต์ EV เกิดการชะลอตัวในระยะยาวก็เป็นได้ นอกจากนั้นยังมีความท้าทายอื่นๆ รออยู่ เช่น ความสามารถในการผลิตแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การเพิ่มศักยภาพในการผลิตรถ EV ให้มีต้นทุนที่ต่ำลง และการเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นสถานีอัดประจุไฟฟ้าอย่างเพียงพอเพื่อรองรับการใช้งานรถ EV ให้แพร่หลายมากขึ้น ล้วนจะส่งผลกระทบต่อความนิยม และยอดขายของรถ EV ในอนาคต
ฝ่ายนวัตกรรมและพัฒนาการกำกับกิจการพลังงาน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
กันยายน 2565
ข้อมูลอ้างอิง
“China’s electric vehicle market, a rising global leader in EV technology.” daxueconsulting, 10 Aug. 2022, https://daxueconsulting.com/electric-vehicle-market-in-china/. Accessed 19 Sep. 2022.
Ingram, Richard. “Electric car battery swapping: inside NIO's game-changing tech.” Auto EXPRESS, 23 Aug. 2022, https://www.autoexpress.co.uk/nio/358663/electric-car-battery-swapping-inside-nios-game-changing-tech. Accessed 21 Sep. 2022.
Johnson, Peter. “Ford EV sales outpace segment, gains EV market share.” Electrek, 3 Aug. 2022, https://electrek.co/2022/08/03/ford-ev-sales-outpace-gains-ev-market-share/. Accessed 22 Sep. 2022.
“จีนตลาดรถยนต์ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกับที่สุดของการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค.” SCB, https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/home-car/china-ev-car.html. Accessed 20 Sep. 2022.